คริสเตียโน โรนัลโด้ ดาวเตะทีมชาติโปรตุเกส ออกมาร่ายยาวถึงความรู้สึก หลังจากตกรอบฟุตบอลโลก 2022 ด้วยการแพ้ โมร็อคโก 0-1 แบบพลิกความคาดหมาย
คริสเตียโน โรนัลโด้ เจอดราม่าอย่างหนักในช่วงฟุตบอลโลก ทั้งการถูกดร็อปเป็นสำรอง มีปัญหากับกุนซือ ขู่จะออกจากแคมป์ทีมชาติ รวมไปถึงแฟนบอลในประเทศรวมตัวโหวตให้นั่งเป็นสำรอง ซึ่งเป็นทั้งข่าวจริงและไม่จริงรวมกันมั่วไปหมด และเมื่อโปรตุเกสตกรอบฟุตบอลโลก ถึงคราวที่ โรนัลโด้ ออกมาพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
“การพาโปรตุเกสคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก คือความฝันสุดยิ่งใหญ่ของผม” โรนัลโด้ โพสต์ในไอจี
“ผมผ่านการคว้าแชมป์มาแล้วมากมาย รวมถึงการคว้าแชมป์ยุโรปกับโปรตุเกส แต่ความฝันที่จะพาทีมชาติโปรตุเกส ก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์โลก ยังเป็นความฝันสูงสุดของผมอยู่เสมอ”
คริสเตียโน โรนัลโด้ ผ่านฟุตบอลโลกมาแล้ว 5 สมัย เขาเป็นกำลังสำคัญของทีมทุกครั้ง อย่างไรก็ตามเขาทำได้ดีที่สุด เพียงแค่การยิงประตูในบอลโลก 5 สมัยติด แต่ไม่เคยพาทีมไปไกลกว่ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งนี่เป็นฟุตบอลโกลที่โปรตุเกสมาได้ไกลที่สุดแล้ว ในยุคของ คริสเตียโน โรนัลโด้ ขณะที่ฟุตบอลยูโร CR7 พาทีมคว้าแชมป์ได้ในปี 2016 ซึ่งเป็นการเอาชนะ ฝรั่งเศส 1-0 ซึ่งในทัวร์นาเมนต์นั้น โรนัลโด้ เป็นกำลังสำคัญมาตลอด แต่ดันมาเจ็บในช่วงต้นเกมของนัดชิงชนะเลิศ จนเล่นต่อไม่ไหว จนเป็นที่มาของคลิปสั่งลูกทีมข้างสนาม เขียงข้างกับกุนซือ แฟร์นานโด ซานโตส เป็นไวรัลที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในตอนนั้น
“ผมทุ่มเททุกอย่างเพื่อการนี้ ผมสู้ด้วยทุกอย่างที่มีเพื่อความฝันนี้ ผมใส่เต็มร้อยกับฟุตบอลโลก 5 ครั้ง ตลอดช่วงเวลา 16 ปีที่ผ่านมา ผมสู้ท่ามกลางยอดนักเตะมากมาย รวมถึงแรงใจจากชาวโปรตุเกสหลายล้านคน”
“ผมไม่เคยหวาดกลัว เมื่อถึงเวลาที่จะต้องสู้ ผมไม่เคยยอมแพ้ในสิ่งที่ผมใฝ่ฝัน แต่โชคไม่ดีที่มันได้จบลงแล้วในเกมเมื่อวาน”
ในช่วงก่อนเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย สื่อในประเทศโปรตุเกส เขียนข่าวใส่ร้ายว่า โรนัลโด้ มีปัญหากับกุนซือ เนื่องจากถูกดร็อปเป็นตัวสำรอง ร้อนถึงสมาคมฟุตบอลต้องออกมาแถลงข่าวตอบโต้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับสภาพจิตใจของเพื่อนร่วมทีม
“มันได้ไม่คุ้มเสียที่จะไปตอบโต้อะไรในช่วงนั้น แต่ผมอยากจะบอกกับทุกคนว่า ไม่ว่าใครจะพูดอะไรออกไป หรือเขียนอะไรออกไป รวมไปถึงข่าวเฟคนิวส์มากมาย แต่สิ่งเหล่านั้น ไม่อาจเปลี่ยนความทุ่มเทที่ผมมีให้กับทีมชาติโปรตุเกสได้”
“ผมสู้เพื่อชาวโปรตุเกสอยู่เสมอ ผมไม่เคยหันหลังให้เพื่อนร่วมทีมและประเทศชาติ”
คุณอาจสนใจเรื่องเหล่านี้
Comments